" ... เรามีโชคดีที่มีภาษาเป็นของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบเป็นประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้ ... "
พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในคราวเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานการประชุมคณะกรรมการชุมนุมภาษาไทย ในการประชุมทางวิชาการ ของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
..................................................................................................................................
ภาษาไทยถือเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย อีกทั้งยังแสดงถึงเอกราชของชาติที่ไม่เคยตกอยู่ใต้การปกครองของใคร นับตั้งแต่พ.ศ.๑๘๒๖ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นใช้ตราบจนวันนี้ เป็นเวลายาวนานกว่า ๗๓๐ ปี ที่บรรพบุรุษสละชีพเพื่อรักษาความเป็นเอกราชนี้ไว้ เดือนกรกฎาคมถือเป็นเดือนที่มีวันสำคัญวันหนึ่งซึ่งคนไทยควรจดจำและภาคภูมิใจ นั่นคือ วันภาษาไทย ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๙ กรกฎาคมของทุกปี
ภาษาไทยจะมีความแตกต่างจากภาษาอื่นๆ ทั่วโลก คือ การใช้ถ้อยคำสำนวนไทยและการใช้ถ้อยคำราชาศัพท์ การรักษาและการถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยโดยผ่านภาษาไทยมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันภาษาไทยและการใช้ภาษาไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสภาพแวดล้อมและสังคมโลก ที่มีการหลั่งไหลของวัฒนธรรมและภาษาต่างๆ ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้นำ และบุคคลที่เกี่ยวข้องในสังคมไทยได้คล้อยตามกระแสนิยม ทำให้การใช้ภาษาไทยเกิดความผิดเพี้ยน ความวิบัติ การออกเสียงควบกล้ำไม่ชัด ใช้ภาษาสแลง และใช้ภาษาไทยปนกับภาษาอื่นคงไม่พ้นกับเด็กและเยาวชนไทยที่นิยมใช้ภาษาที่เรียกว่า แอ๊บแบ๊ว หรือ ภาษาวัยรุ่น คำพูดสั้นๆ หรือใช้สัญลักษณ์ต่างๆ แทนคำพูดและใช้ภาษาต่างประเทศ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น จีน หรือชนชาติอื่นๆ
จะเห็นว่าการที่ใช้ภาษาให้เกิดความสละสลวย ไพเราะ งดงาม เป็นสมบัติของชาติและเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่ยั่งยืนในอนาคต โดยต้องเริ่มจาก สถาบันครอบครัว นับว่าเป็นสถาบันที่มีความสำคัญที่สุดคือ พ่อ แม่ ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกในการใช้ภาษาไทย ทั้งการพูด การอ่านออกเสียงและการเขียนให้ถูกต้อง ฝึกฝนและอบรมสั่งสอน เน้นย้ำเอาใจใส่และให้ความสำคัญให้มากขึ้น หากลูกของตนเองใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องควรให้คำแนะนำแก้ไขทันที อย่าปล่อยละเลยจนเกิดเป็นความเคยชินและติดเป็นนิสัยอันจะเป็นเหตุให้การใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยนขยายเป็นวงกว้างไปในที่สุด เพราะฉะนั้นเราคนไทยก็ควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีของไทยที่มีค่าให้คงอยู่ต่อไปให้คนรุ่นหลังได้มีภาษาไทยได้ใช้อย่างถูกต้อง ควรที่จะแก้ปัญหานี้โดยจัดให้มีการรณรงค์ในเรื่องของการใช้ภาษาที่ถูกต้องมาก
ภาษาวิบัติ ภาษาวัยรุ่น
ตัวอย่างการใช้ภาษาวิบัติในปัจจุบัน
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นและทุกคนในชาติต้องเอาใจใส่และให้ความสำคัญต่อภาษาไทยและการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง มิใช่ผลักภาระให้เป็นหน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องให้ความร่วมมือ ร่วมใจ กันอย่างเหนียวแน่นที่จะทำให้ชนชาติไทย มีภาษาไทยใช้อย่างถูกต้องและภาคภูมิใจตลอดไป มิใช่บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่าภาษาไทยล่มสลายเกิดวิกฤติหรือวิบัติอีกต่อไป
หลักการใช้ภาษาไทยในการสื่อสารที่ถูกต้อง
1. ใช้คำให้ถูกต้องตรงตามความหมาย กล่าวคือ ก่อนนำคำไปเรียงเข้าประโยค ควรทราบความหมายของคำคำนั้นก่อน เช่น คำว่า “ปอก” กับ “ปลอก” สองคำนี้มีความหมายไม่เหมือนกัน คำว่า “ปอก” เป็นคำกริยา แปลว่า เอาเปลือกหรือสิ่งที่ห่อหุ้มออก แต่คำว่า “ปลอก” เป็นคำนาม แปลว่า สิ่งที่ทำสำหรับสวมหรือรัดของต่างๆ เป็นต้น ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ “วันนี้ได้พบกับท่านอธิการบดี ผมขอฉวยโอกาสอันงดงามนี้เลี้ยงต้อนรับท่านนะครับ” (ที่จริงแล้วควรใช้ ถือโอกาส เพราะฉวยโอกาสใช้ในความหมายที่ไม่ดี)
3. การใช้คำลักษณนาม ใช้คำที่บอกลักษณะของนามต่างๆ ให้ถูกต้อง เช่น ปากกา มีลักษณนามเป็น ด้าม เลื่อย มีลักษณะนามเป็น ปื้น ฤๅษี มีลักษณะนามเป็น ตน เป็นต้น
4. การเรียงลำดับคำ เป็นเรื่องที่สำคัญมากในภาษาไทย หากเรียงผิดที่ความหมายก็จะเปลี่ยนไปด้วย ทั้งนี้ เพราะคำบางคำอาจมีความหมายได้หลายความหมายซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จัดเรียงไว้ในประโยค เช่น แม่เกลียดคนใช้ฉัน ฉันเกลียดคนใช้แม่ คนใช้เกลียดแม่ฉัน แม่คนใช้เกลียดฉัน ฉันเกลียดแม่คนใช้ แม่ฉันเกลียด
5. แต่งประโยคให้จบกระแสความ หมายถึงแต่งประโยคให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทั้งส่วนที่เป็นภาคประธานและภาคแสดง ซึ่งประโยคที่จบกระแสความนั้นจะต้องตอบคำถามว่า ใคร ทำอะไร ได้ชัดเจน สาเหตุที่ทำให้ประโยคไม่จบกระแสความอาจเกิดจากขาดคำบางคำหรือขาดส่วนประกอบของประโยคบางส่วนไป เช่น เมื่อตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม่ บัดนี้เขาอายุยี่สิบกว่าแล้ว (ควรแก้เป็น เมื่อตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม่ บัดนี้เขาอายุยี่สิบกว่าแล้วก็ยังชอบอยู่เหมือนเดิม)
6. ใช้ภาษาให้ชัดเจน ใช้ภาษาที่ให้ความหมายเพียงความหมายเดียว เป็นความหมายที่ไม่สามารถจะแปลความเป็นอย่างอื่นได้ เช่น “คุณแม่ไม่ชอบคนใช้ฉัน” อาจแปลได้ 2 ความหมายคือ คุณแม่ไม่ชอบใครก็ตามที่ใช้ให้ฉันทำโน่นทำนี่ หรือคุณแม่ไม่ชอบคนรับใช้ของฉัน ทั้งนี้เพราะคำว่า “คนใช้” เป็นคำที่มีหลายความหมายนั่นเอง
7. ใช้ภาษาให้สละสลวย ใช้ภาษาอย่างไพเราะราบรื่น ฟังไม่ขัดหู และมีความกะทัดรัด
- ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย หมายถึง การใช้คำที่ไม่จำเป็น หรือใช้คำที่มีความหมายซ้ำซ้อน เช่น “วันนี้อาจารย์ไม่มาทำการสอน” คำว่า “ทำการ” เป็นคำที่ไม่จำเป็น เพราะแม้จะคงไว้ก็ไม่ได้ช่วยให้ความหมายชัดเจนขึ้นกว่าเดิม หรือถ้าตัดทิ้ง ความหมายก็ไม่ได้เสียไป ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็น “วันนี้อาจารย์ไม่มาสอน”
- ใช้คำให้คงที่ หมายถึง ในประโยคเดียวกัน หรือในเนื้อความเดียวกัน ควรใช้คำเดียวกันให้ตลอด ดังประโยคต่อไปนี้ “หมอถือว่าคนป่วยทุกคนเป็นคนไข้ของหมอเหมือนกัน” (ควรแก้เป็น : หมอถือว่าคนไข้ทุกคนเป็นคนไข้ของหมอเหมือนกัน”
- ไม่ใช้สำนวนต่างประเทศ เช่น “มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องจากไป” (ควรแก้เป็น “เขาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจากไป)
ข้อสังเกตและจดจำในการเขียนภาษาไทย
1. หลักการประวิสรรชนีย์ในภาษาไทย
- คำที่ขึ้นต้นด้วยกระ/กะ ในภาษาไทยให้ประวิสรรชนีย์ เช่น กระเช้า กระเซ้า กระแส กระโปรง กระทรวง กระทะ กระพริบ กะปิ เป็นต้น
2. คำที่เป็นคำประสมที่คำหน้าก่อนเป็นเสียง อะ ให้ประวิสรรชนีย์
- เช่น ตาวัน เป็น ตะวัน, ฉันนั้น เป็น ฉะนั้น, ฉันนี้ เป็นฉะนี้, หมากม่วง เป็น มะม่วง, สาวใภ้ เป็น สะใภ้, วับวับ เป็น วะวับ, เรื่อยเรื่อย เป็น ระเรื่อย เป็นต้น
3. คำที่ยืมมาจากภาษาบาลี สันสกฤต ตัวท้ายที่ออกเสียง อะ ต้องประวิสรรชนีย์
- เช่น ศิลปะ มรณะ สาธารณะ วาระ เป็นต้น
- เช่น ศิลปะ มรณะ สาธารณะ วาระ เป็นต้น
4. คำที่พยัญชนะต้น ออกเสียงอะ แต่ไม่ใช่อักษรนำ ต้องประวิสรรชณีย์
- เช่น ขะมุกขะมอม ขะมักเขม้น ทะเล่อทะล่า เป็นต้น
- เช่น ขะมุกขะมอม ขะมักเขม้น ทะเล่อทะล่า เป็นต้น




